วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

การฝึกอภิญญา

การฝึกอภิญญา

อภิญญา หมายถึง ความรู้ยิ่ง ปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิต
เจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน การฝึกในทางนี้เป็นทางเสือผ่าน เป็นทางที่ทุกคนที่จะไปสู่นิพาน
จะต้องผ่าน จะหลีหนีไม่ได้ แต่จะผ่านไปได้อย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่แต่ละบุคคล เนื้อหาต่างๆเป็นการร่วบรวม
จากการฝึกและการทราบจากครูบาอาจารย์ ที่อยู่ในโลกมนุษย์ และในโลกทิพย์มาสอน แต่แนะนำว่าจงอย่าเชื่อ
แต่ให้ลงมือปฏิบัติเองจริงๆ โดยมีความมุ่งมันเป็นที่ตั้ง


วิธีปฏิบัติ
นั่งสมาธิในท่าปรกติหายใจเข้าลึก ออกยาวนับเป็น 1 นับให้ได้ 100
แล้วต่อด้วย
พุทโธ เข้าพุท ออกโธ นับเป็น 1 นับให้ได้ 100
แล้วต่อด้วย
ภาวนา เกษา โลมา นขา ทันตา ตโจ - ตโจ ทันตา นขา โลมา เกษา นับเป็น 1 อีก 100
แล้วก็ต่อด้วย
พุทโธ เข้าพุท ออกโธ นับเป็น 1 นับให้ได้ 100
แล้วก็ต่อด้วย
แผ่เมตตา จากนั่นก็นั่งนิ่งๆ ปล่อยตามสภาวะจิต
ไม่ต้องภาวนา นังไปเรื่อยๆ
เมื่อจะออกจากกรรมฐาน
ให้ ปัจจเวกขณ์ คือ พิจารณาในสมาธิ ว่า
เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไมล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้
เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
เราจักต้องมีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
เรามีกรรมเป็นของตน เราทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักต้องเป็นทายาท ของกรรมนั้น
ให้ทำทุกครั้งที่จะออกจาก กรรมฐาน


ตอนภาวนา เกษา โลมา นขา ทันตา ตโจ - ตโจ ทันตา นขา โลมา เกษา
ลองเร่งสปีดดูเอาแบบว่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นการเร่งอำนาจจิต อาการที่จะเกิด
จะมีการสั่น มากน้อยแล้วแต่คน แต่สั่นแน่นอนบางทีก็ดิ้นเลยพยายามอย่าให้มือหลุดแค่นั้น
ขาแข้ง หัวจะคลอนอย่างไรช่างมัน จะให้เบาลงก็ใช้วิธีภาวนา พุธโธ ช้าๆ

นั่งครั้งที่ 1 เจอปัญหาอย่างไร จดจำไว้
นั่งครั้งที่ 2 เจอปัญหาเดิม แต่มันจะเบาบางลง
นั่งครั้งที่ 3 ปัญหาจะหายไปเอง
การนังในรูปแบบของการฝึกอภิญา ต้องสร้างให้จิตมีกำลัง และมีความชำนาญ
ของจิต ที่เรียกว่า วสี ต้องนั่งบ่อยๆ และจะต้องเจอบัญหาเยอะ
ทุกข์ที่เจอ ทุกๆอย่างที่เกิดก็เพราะ กรรมเก่า ก็ต้อง
สะสางกันไป ไปฆ่าเค้าตายไม่ใช่ขอโทษด้วยของใส่ถังแล้วก็จบๆไป
...............................................................
อาการที่เจ็บหรือปวดจากการนั่ง พอเจ็บพอปวดก็ให้เอาจิตเข้าไปจับ
ให้รู้ดูเห็นถึงความเจ็บปวด จะได้รู้ว่าทุกข์ที่เกิดจากกายเป็นอย่างไร
ได้อสุภะกรรมฐานไปในตัว
เอาเหตุความตั่งใจเป็นที่ตั่ง ถ้าเราตั่งไว้ว่าแค่นั่งเอาสบายเอาสงบสงบ
เมื่อได้ความสงบแล้วจะหยุดก็ได้ เพราะถึงจุดหมายแล้ว
แต่ถ้านั่งเอาดับทุกข์ ก็ต้องเอาทุกข์มาเป็นที่ตั่งดูว่ามันดับแล้วหรือยัง
ถ้ายังก็นั่งต่อไป แล้วถ้านั่งแล้วเจ็บ นั่งแล้วปวดเป็นทุกข์ก็เอาทุกข์เดิมเป็นที่ตั่งแล้วเอาความเจ็บปวดที่เกิดมา เทียบกับทุกข์ที่มี
เทียบกันดูว่าทุกข์ที่มีในใจกับทุกข์ทางกายที่เกิดขึ้นอันไหนมีน้ำหนักกว่ากัน ถ้าทุกข์ใจมีมากกว่า
ทุกข์ทางกายจะมีความสำคัญประการใด
.................................................................................
ระหว่างนั่งให้พิจรณาเยอะๆ จะเกิดปัญญา พิจรณากับฟุ้งซานคนละอย่างกัน
ต้องดูจิตเราดีๆ แยกแยะเองให้ออกเพราะอันนี้ก็เป็นปัจจัตตัง เป็นสิ่งที่รูปทราบได้โดยตนเอง
ไม่สามารถสอนหรือบอกใครได้ จะรู้ได้เฉพาะตน เมือรู้แล้วก็จะเกิดความก้าวหน้า
................................................................................
คนที่ไม่รู้มักจะถามว่า ได้ปัญญาญานถึงไหนแล้ว ถึงขั้นไหนแล้ว
ปัญญาญานที่ได้นั้น ก็เปรียบเสมือนโปรตีนมีในอาหารที่เรากินทุกวัน
แต่ถ้าอยากรู้ ต้องไปดูตารางสารอาหาร แต่เราทานเข้าอยู่ในรางกายและ
หล่อเลียงร่างกายเราจนโต
ปัญญาญานก็เหมือนกัน มีได้จากการเจริญสมาธิ อยู่ในจิตเราเมื่อเราฝึกถ้าอยากรู้
ก็จะได้รู้ต่อเมื่อมีความก้าวหน้าแล้วจะรู้ได้โดยตนเอง

ในการที่เกิด ทั้งกลิ่นและตากระพริบ
เค้าเรียกว่า อุคคนิมิตเป็นนิมิตรแรกเริ่มที่คนฝึกสมาธิในระดับแรกบังเกิดมี ตามพระไตรปิฎกมี
ทั้งสิ้น 200 แบบ ที่เกิดนั้นล้วนแต่ตามบุญกรรมเก่าเพราะในวิธีที่สอนมันจะล้างกรรมและให้เห็น ของเก่ากันเลย คือไม่มีนิมิตรปรุงแต่ไม่ต้องกำหนดฐานของจิต
...............................................................................
กรรมฐานมี 40 กอง บุญกรรม แต่ละคนแตกต่างกัน จะใช้เหมือนกันไม่ได้
แบบที่ให้นั่งนั้นเป็นขั้นเบื่องต้น ถ้าทำได้ครบ จิตจะวิ่งตั่งแต่ ณาน1ไปถึง 4 โดยปริยาย
ถ้าทำทุกวันจะจำสภาวะณานได้ ก็จะสอนในบทที่ยากขึ้นไปอีก
แต่บทแรกยากนิดนึงถ้าผ่านได้ ไปเร็วมาก ได้เห็นกรรมเก่า ของตัวเองแน่นอน
.................................................................................
กรรมฐานเป็นของละเมียด ต้องละลาย จิตปรกติของเรา
ถ้าฝึกเลยคั่นแรก มักจะมีเทวดามาสอบจิตเราตลอดเวลา
ถ้าผ่านก็ไม่ต้องกลัวใดๆเลย อยากได้อะไรอธิฐานจิตเอาเลย
ใครเป็นอะไรอธิฐานจิตมือลูปก็หาย แต่ก็ต้องขึ้นกับชะตาเค้าด้วยจะรู้ได้ไง
ว่าช่วยได้ไม่ได้เมือจิตมีพลังเห็น กรรมเค้าก่อนเลยจะบอกไม่บอกแค่นั้น

อาการเข้าภวังเพราะจิตยังไม่มีกำลัง จิตเลยทำการปรับจูนใหม่ ไม่ใช่ง่วงหรอก
ไม่เชื่อก็ลองให้หลับเลยไม่หลับหรอก คือจิตมันตัดการทำงานที่เคยร่วมกับสมอง
เพราะคนปรกติใช้สมองในการทำงานไม่เคนใช้จิตเลยแต่นี่เราจะฝึกใช้จิตให้มากขึ้น
ระบบเลยตัดการทำงานของสมองแค่นั้นเอง ถ้าเมื่อไรเข้าพวังก็ให้อธิฐานจิตก่อนที่จิตจะเข้าภวัง
ก็ให้อธิฐานให้ในการปฏิบัติอภิญาให้สำเร็จ จิตก็จะดำเนินการให้เลย

1.ได้ลองทำ มีบุญแล้วที่ได้
2.เมื่อเกิดปัญหามีปัญญาในการแก้ในเบื่องต้นถึงไม่ดีที่เดียวแต่ก็ถูกทาง
3.มีมานะในการที่จะทำ มีตัวนี้สำเร็จแน่นอน
4.ตามที่สอนคือ วิธีที่มีในพระไตรปิฏกทุกอย่างเพียงแต่มีอุปเท่ห์ ให่สภาวะจิตดำเนินไปตามจริตของคนในสมัยนี้
ที่มีเรื่องวุ่นวาย และชอบทดลอง
ดังนั้น ถ้าตั้งใจอย่างน้อยที่สุดน่าจะได้เจโต  รู้เรื่องราวล่วงหน้าได้บ้าง
มีเทวดามาบอกข่าวบางอย่างบ้าง  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น